ส่วนใหญ่เวลาสตาร์ทรถแล้วมีแค่เสียงคลิก สตาร์ทไม่ติด เราก็มักจะคิดว่าแบตเสื่อม แล้วก็แก้ด้วยการจัมป์ไฟแบต หรือไม่ก็เปลี่ยนแบต แต่ถ้าหากว่า รถของคุณมีอาการแบบนี้บ่อยๆ ทั้งๆ ที่จอดทิ้งไว้ไม่กี่วัน ไม่ได้เปิดไฟอะไรทิ้งไว้ แบตก็ใหม่อายุไม่เกินปีครึ่ง อาการเหล่านี้อาจกำลังบอกว่ารถของคุณมีไฟรั่วก็ได้ วันนี้เรามีวิธีเช็กไฟรั่ว และหาจุดไฟรั่วมาฝาก
แต่ก่อนที่จะสงสัยว่าไฟรั่ว ให้คุณลองเช็กไดชาร์จอีกทีก่อน ไดชาร์จมีหน้าที่ผลิตกระแสไฟกระแสตรงเพื่อชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ วิธีเช็กว่าไดชาร์จปกติหรือไม่ ให้ใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า เครื่องวัดโวลต์มิเตอร์ ปรับกระแสเป็น DC แล้วเอาด้านสีดำแตะที่ขั้วลบ ด้านสีแดงแตะที่ขั้วบวกของแบตเตอรี่ เพื่อวัดกระแสแรงดัน ค่าที่ได้ต้องอยู่ที่ประมาณ 12 โวลท์ จากนั้นให้ลองเร่งเครื่องไปที่ 1,500 รอบต่อนาที ค่าที่ได้ควรอยู่ที่ประมาณ 14.5 โวลต์
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไดชาร์จปกติ นั่นแปลว่ารถของคุณน่าจะมีไฟรั่วจริงๆ สาเหตุของไฟรั่วมีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นสายไฟเก่า สายไฟโดนหนูแทะ หรือการต่อวงจรผิดพลาด
วิธีเช็กไฟรั่ว และหาว่าไฟรั่วที่ส่วนไหนของรถ
คุณจะต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า "มัลติมิเตอร์" ก่อน จากนั้นให้ทำตามขั้นตอนข้างล่างนี้ได้เลย
- ดับเครื่องยนต์ ปิดสวิตช์ไฟให้หมด ปิดประตูทุกบาน และห้ามเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆ ในรถ
- ถอดสายขั้วลบออกจากแบตเตอรี่
- ปรับมัลติมิเตอร์ไปที่กระแสไฟตรง (DC Current)
- คีบสายขั้วบวกของมัลติมิเตอร์เข้ากับสายขั้วลบของแบตเตอรี่ แล้วคีบสายขั้วลบของมัลติมิเตอร์เข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่
- อ่านค่ามิลลิแอมป์ที่ได้ ค่าปกติจะอยู่ที่ -0.09 ถึง -0.03 Amps หากค่าที่ได้อยู่ที่ -0.20 ถึง -0.10 แสดงว่ามีไฟรั่ว
- กรณีที่มีไฟรั่ว ให้ต่อมัลติมิเตอร์เข้ากับแบตเตอรี่ไว้เหมือนเดิม จากนั้นให้เปิดกล่องฟิวส์ แล้วไล่ถอดฟิวส์ทีละอันเพื่อหาว่าวงจรไหนที่เป็นที่มาของไฟรั่ว ถ้าถอดฟิวส์ตัวไหนแล้วค่ามิลลิแอมป์กลับมาเป็นปกติ แสดงว่าวงจรนั้นคือสาเหตุ จากนั้นให้เช็กกับคู่มือรถอีกทีเพื่อดูว่าฟิวส์ตัวนั้นเป็นของวงจรใด เท่านี้คุณก็รู้ว่าจะต้องไปแก้ไขที่วงจรไหน
Cr.sanook
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น