วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

รู้ยัง! หยุดรถทับทางม้าลายนอกจาก "ไร้น้ำใจ" แล้วยัง "ผิดกฎหมาย" ด้วย



    การหยุดรถทับทางม้าลาย นอกจากจะทำให้คนเดินถนนใช้ทางได้อย่างลำบากแล้ว ยังผิดกฎหมายมีโทษปรับอีกด้วย
     คนส่วนใหญ่มักคิดว่ารถยนต์ต้องมาก่อนคนเดินถนนเสมอ จึงทำให้เห็นภาพรถยนต์หยุดทับทางข้ามหรือทางม้าลายกันจนชินตา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เรียกได้ว่าน่ารังเกียจอย่างมาก เนื่องจากเป็นการหยุดรถขวางทางคนเดินถนน ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกและเสี่ยงอันตรายได้
01
     ปัจจุบันมีพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ควบคุมผู้ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทางข้าม ได้แก่
     1.บังคับให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจรและเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้หรือทำให้ปรากฏในทาง (มาตรา 21) มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งในที่นี้สามารถบังคับใช้ในกรณีไม่หยุดรถตามสัญญาณไฟสีแดง เพื่อให้คนเดินถนนข้ามไปก่อน
     2.ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถคันอื่นภายในระยะ 30 เมตรก่อนถึงทางข้าม และเมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย (มาตรา 46) ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 400 - 1,000 บาท
     3.ห้ามมิให้ผู้ขับขี่จอดรถในทางข้ามหรือในระยะ 3 เมตรจากทางข้าม (มาตรา 57) ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 500 บาท
     นอกจากข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ทางข้ามแล้วนั้น หากหยุดรถขับทางข้ามยังเป็นการแสดงถึงความแล้งน้ำใจต่อผู้ร่วมทางอีกด้วย
ที่มา:sanook

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เจอ 6 อาการแบบนี้เตรียมเปลี่ยน "แบตเตอรี่" ลูกใหม่ได้เลย


     แบตเตอรี่ ถือเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งในการสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อใช้ในการเดิน ทาง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันจะมีอายุการใช้งาน 1.5 - 3 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน
     จริงๆ แล้วไม่ว่าแบตเตอรี่ที่ใช้จะเป็นแบบแห้ง หรือแบบเปียก มักจะมีสัญญาณเตือนก่อนที่แบตฯ จะหมดคล้ายๆ กัน

     ซึ่งสัญญาณเตือนแบตเตอรี่มีปัญหา มีอยู่หลักๆ ดังนี้
1. เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ จะรู้สึกว่าเครื่องไม่ค่อยมีกำลัง สตาร์ทติดยากกว่าที่เคยเป็น
2. หลังจากจอดรถดับเครื่องแล้วทิ้งไว้สักครู่ หรือดับเครื่องเสร็จแล้วสตาร์ทใหม่ทันที รถจะสตาร์ทติดยาก ต้องพยายามสตาร์ทหลายๆ ครั้งถึงจะติด
3. ไฟส่องสว่างด้านหน้ารถยนต์ไม่ส่องสว่างเท่าเดิม
4. ระบบล็อคประตู และการทำงานของกระจกไฟฟ้าช้าลงกว่าปกติ อืดๆ ไม่เร็วเหมือนเดิม
5. แบตเตอรี่แบบเปียก น้ำกลั่นหมดเร็วกว่าเดิม ต้องเติมถี่ และบ่อยขึ้น
6. ถึงขั้นต้องพ่วงแบตฯ เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ในการสตาร์ทรถยนต์ เพราะสตาร์ทรถไม่ติดเลย
     เมื่อไหร่ที่เกิดอาการเหล่านี้ขึ้น ให้คุณเตรียมตัวเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้เลย ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะไม่แน่ว่ามันจะไปหมดกลางทางที่ไหน และเมื่อไหร่ หากเจอแจ๊กพ็อตในขณะที่มีธุระเร่งด่วนมากๆ มีหงุดหงิดแน่ๆ
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

กระบะแต่งควันดำระวังให้ดี ตร.มีสิทธิ์สั่ง "ห้ามใช้รถเด็ดขาด"!



    รู้หรือไม่ว่ารถควันดำมีความผิดตามกฎหมาย นอกจากจะมีโทษปรับแล้ว อาจถูกสั่งห้ามใช้รถชั่วคราว ไปจนถึงห้ามใช้โดยเด็ดขาดได้
202
     ปัจจุบันความนิยมแต่งรถกระบะเพิ่มขึ้นสูงมาก นอกเหนือจากการตกแต่งเพื่อเพิ่มความสวยงามแล้ว เจ้าของรถกระบะหลายคนยังนิยมปรับจูนเครื่องยนต์เพื่อให้มีสมรรถนะเพิ่มขึ้นด้วย แต่หลายครั้งที่การปรับจูนดังกล่าวนำมาซึ่งปัญหาควันดำ ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมักเกิดจากการอุดระบบหมุนเวียนไอเสีย (EGR), เพิ่มแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง และการถอด Catalytic converter เป็นต้น
     การกระทำดังกล่าวที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษ ควันดำ ล้วนแต่เป็นการกระทำผิดกฎหมาย มีโทษปรับตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ข้อหานำรถที่มีอุปกรณ์ส่วนควบไม่ได้มาตรฐานก่อให้เกิดมลพิษมาใช้ในทางวิ่ง มีโทษปรับสูงสุด 500 บาท ขณะที่รถบรรทุกปรับไม่เกิน 5,000 บาท
     ไม่เพียงเท่านั้น รถยนต์ที่ปล่อยควันดำเกินร้อยละ 50 ด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบกระดาษกรอง หรือเกินร้อยละ 45 ด้วยเครื่องมือระบบวัดความทึบแสง จะถูกติดสติ๊กเกอร์ "ห้ามใช้ชั่วคราว" เพื่อให้นำรถไปแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ภายใน 30 วัน หากพ้น 30 วันแล้วแต่ยังไม่มีการแก้ไขปรับปรุง จะถูกสั่ง "ห้ามใช้เด็ดขาด" โดยจะสามารถเคลื่อนย้ายรถได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น
203
204
     ประเภทรถยนต์ที่จะถูกห้ามใช้ตามกฎหมายหากมีควันดำเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด มีดังนี้
     1.รถยนต์ส่วนบุคคล ได้แก่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลซึ่งมิได้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก เช่น รถกระบะหรือรถปิ๊กอัพ รถตู้ เป็นต้น
     2.รถยนต์สาธารณะ ได้แก่ รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด หรือรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน หรือ รถยนต์สาธารณะอื่นนอกจากรถยนต์โดยสารประจำทาง
     3.รถยนต์บริการ ได้แก่ รถยนต์บริการธุรกิจ รถยนต์บริการทัศนาจร รถยนต์บริการให้เช่า
     4.รถพ่วง
     5.รถบดถนน
     6.รถแทรกเตอร์
     หากฝ่าฝืนนำรถที่ติดเครื่องหมายห้ามใช้มาใช้งาน จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท และหากฉีก/แกะเครื่องหมาย "ห้ามใช้ชั่วคราว" หรือ "ห้ามใช้เด็ดขาด" จะมีความผิดทางอาญาด้วย
201
     นอกจากนั้น ผู้ที่ไม่หยุดรถเพื่อให้เจ้าพนักงานตรวจสอบเครื่องยนต์และอุปกรณ์ของรถยนต์ ยังมีโทษตามมาตรา 103 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561

แนะนำ 5 สถานที่ต่อภาษีรถยนต์โดยไม่ต้องไปขนส่งฯ



    การต่อภาษีรถยนต์ประจำปี นอกจากจะดำเนินการได้ด้วยตัวเองที่สำนักงานขนส่งแล้ว ยังสามารถต่อภาษี ณ ที่ทำการของเอกชนได้อีกหลายแห่งทั่วประเทศ รวมถึงสามารถต่อภาษีในวันเสาร์-อาทิตย์ได้อีกด้วย ซึ่งบทความนี้เรานำมารวบรวมให้ทราบกันครับ
1.สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีได้
1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1)
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2)
3.รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3)
4.รถจักรยานยนต์ (รย.12)
5.รถแทรกเตอร์ (รย.13)
6.รถบดถนน (รย.14)
7.รถพ่วง (รย.16)
หลักฐานที่ใช้
1.ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
2.หลักฐานการเอาประกันภัยตาม พ.ร.บ.
3.ใบรับรองการตรวจสภาพรถ (สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป หรือรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป)

2.ที่ทำการไปรษณีย์
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีได้
1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1)
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2)
3.รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3)
4.รถจักรยานยนต์ (รย.12)
5.รถแทรกเตอร์ (รย.13)
6.รถบดถนน (รย.14)
7.รถพ่วง (รย.16)
หลักฐานที่ใช้
1.ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
2.หลักฐานการเอาประกันภัยตาม พ.ร.บ.
3.ใบรับรองการตรวจสภาพรถ (สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป หรือรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป)

3.ห้างสรรพสินค้า โครงการ "ช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี (Shop Thru for Tax)"
**ต่อภาษีวันเสาร์-อาทิตย์ได้**
1.Big-C เวลาเปิด 09.00 - 17.00 น.
สาขาลาดพร้าว, รามอินทรา, รัชดาภิเษก, บางปะกอก, เพชรเกษม, สุขาภิบาล3, อ่อนนุช, แจ้งวัฒนะ, สำโรง, บางบอน, สุวินทวงศ์, สมุทรปราการ, บางใหญ่และบางนา
2.เซ็นทรัล รามอินทรา เวลาเปิด 10.00 - 17.00 น.
3.พาราไดซ์ พาร์ค ถนนศรีนครินทร์ เวลาเปิด 10.00 - 17.00 น.
4.เซ็นทรัลเวิลด์ เวลาเปิด 11.00 - 18.00 น.
5.ศูนย์บริการร่วมคมนาคม เชิงสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน เปิดวันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 08.30 - 15.00 น.
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีได้
1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1)
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2)
3.รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3)
4.รถจักรยานยนต์ (รย.12)
หลักฐานที่ใช้
1.ใบคู่มือจดทะเบียนรถหรือสำเนา
2.หลักฐานการเอาประกันภัยตาม พ.ร.บ.
3.หนังสือรับรองการตรวจสภาพรถจากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) เฉพาะรถเก๋ง รถตู้ รถปิคอัพ และรถสองแถวที่จดทะเบียนตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
4.หนังสือรับรองการตรวจ และทดสอบส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์ของรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง รับชำระภาษีรถทั่วประเทศไม่ว่ารถนั้นจะจดทะเบียนไว้ที่จังหวัดใด

4.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีได้
1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1)
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2)
3.รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3)
4.รถจักรยานยนต์ (รย.12)
หลักฐานที่ใช้
1.ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
2.หลักฐานการเอาประกันภัยตาม พ.ร.บ.
3.ใบรับรองการตรวจสภาพรถ (สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป หรือรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป)
เงื่อนไข
1.เป็นรถที่ไม่มีภาษีค้างชำระหรือมีภาษีค้างชำระไม่เกิน 1 ปี หรือมีภาษีค้างชำระเกิน 1 ปี ที่นายทะเบียนได้ประกาศยกเว้นการตรวจสภาพรถก่อนเสียภาษีประจำปี
2.ยื่นขอเสียภาษีประจำปีล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน ก่อนวันครบกำหนดเสียภาษี เว้นแต่รถที่มีภาษีค้างชำระให้ยื่นได้ทันที

5.จุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ
เวลาเปิดวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 7.30 - 15.30 น.
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีได้
1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1)
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2)
3.รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3)
4.รถจักรยานยนต์ (รย.12)
เงื่อนไข
1.รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี
2.รถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี
3.ทางกรมการขนส่งทางบกจะทำการนำส่งใบเสร็จ และป้ายวงกลมทางไปรษณีย์ ตามที่อยู่ที่ท่านระบุภายใน 10 วันนับจากวันที่ชำระเงิน
4.ค่าบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิส 20 บาท และค่าจัดส่งป้ายวงกลม 40 บาท
5.รถที่มียอดค้างชำระเกินกำหนด 3 ปี ชำระได้ที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้น
ที่มา:sanook

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ใบขับขี่หมดอายุแล้วเกิดอุบัติเหตุ ประกันจ่ายหรือไม่?


     หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าหากผู้ที่ไม่มีใบขับขี่ นำรถไปเกิดอุบัติเหตุ บ.ประกันมีสิทธิ์ไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ แล้วในกรณีใบขับขี่หมดอายุล่ะ แบบนี้ประกันจะจ่ายหรือเปล่า?
     ปัจจุบันใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลเป็นแบบชั่วคราว 5 ปี ไม่มีแบบตลอดชีพอีกต่อไปแล้ว (นอกจากคุณทำใบขับขี่ตลอดชีพทัน ก็จะได้รับใบขับขี่ตลอดชีพตลอดไป) ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานพอจะทำให้ใครหลายคนลืมสนใจว่าใบขับขี่จะหมดอายุเมื่อใด หากนำรถไปเกิดอุบัติเหตุแล้วพบว่าใบขับขี่หมดอายุในภายหลัง ก็ไม่ต้องตกใจไปครับ
     เพราะการที่คุณเคยได้รับใบขับขี่ แสดงถึงเจตนาและความสามารถในการขับรถแล้ว ดังนั้น หากประสบอุบัติเหตุในขณะที่ใบขับขี่หมดอายุ บ.ประกันยังคงรับผิดชอบทั้งเราและคู่กรณีเช่นเดิม

     หากว่าไม่เคยมีใบขับขี่มาก่อนเลย ก็ใช่ว่าบริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบทั้งหมดนะครับ เพราะประกันจะยังคงชดใช้ให้คู่กรณีตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่จะไม่รับผิดชอบความเสียหายของรถเราเท่านั้นครับ
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

4 สัญญาณเตือนอันตรายก่อนเครื่องยนต์พัง


     หลายๆ คนอาจไม่เคยฉุกคิด หรือเอะใจเลยว่า เครื่องยนต์ใกล้พังมีอาการแบบไหน เนื่องจากไม่เคยสังเกต ไม่เคยใส่ใจต่ออาการที่มันคอยเตือนถึงความผิดปกติ จนกระทั่งมันกลับบ้านเก่าก่อนเวลาอันควร
     การขับขี่รถยนต์ นอกจากขับเป็น และขับถูกกฎจราจรแล้ว การรู้เรื่องรถของเราก็ถือเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเรื่องของเครื่องยนต์ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการขับเคลื่อนรถยนต์ของคุณให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าจนไปถึงจุดหมาย

     สำหรับสัญญาณเตือนก่อนเครื่องยนต์พัง มีอยู่หลักๆ ดังนี้
     1. ไฟสัญญาณเตือนที่หน้าปัดรถยนต์ ถือว่าเห็นชัด และง่ายมาก เพราะมันอยู่ตรงหน้าของคุณ ซึ่งไฟเตือนที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์อะไรขึ้นมาก็ตาม มันบอกได้อย่างเดียวว่า รถของคุณมีปัญหาแล้ว
     2. เสียงแปลกๆ ดังผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเสียดสี หรือเสียงกระทบกันของโลหะ ส่วนไหนก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นในระหว่างขับขี่ ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย ให้รีบนำรถเข้าตรวจสอบโดยด่วน
     3. กลิ่นเหม็นไหม้ หากขับรถอยู่แล้วได้กลิ่นเหม็นไหม้แปลกๆ ที่ไม่ว่ามันจะมาจากส่วนไหน แสดงว่ารถของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว ดังนั้นคุณควรจะรีบนำรถไปตรวจเช็กกับช่างให้เร็วที่สุด
     4. ท่อไอเสียมีควันผิดปกติ จริงๆ แล้วควันจากท่อไอเสียที่ดีจะต้องสะอาด ไร้กลิ่น และไร้สี แต่ถ้าเมื่อใดที่รถของคุณเริ่มมีปัญหา สีของควันที่ออกมาจะบ่งบอกถึงความผิดปกติของเครื่องยนต์ เช่น ควันสีขาวไม่มีกลิ่น, ควันสีฟ้าอ่อนมีกลิ่น ฯลฯ
     แม้การหมั่นสังเกตจะเป็นเรื่องดี แต่ก็อย่าให้มากเกินไป เพราะมันอาจทำให้คุณกลัวรถจะเป็นโน่นเป็นนี่ตลอดเวลา การขับรถไปด้วยใจหวาดหวั่นไม่ใช่เรื่องดี เผลอๆ อาจทำให้คุณกลายเป็นคนวิตกจริตไปได้ ทางที่ดีเอาแค่พอประมาณ ดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และคอยตรวจเช็กเมื่อถึงระยะที่กำหนด
ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2561

วิธีแก้อาการปวดหลังขณะขับรถใน 3 ขั้นตอน

     การขับขี่รถยนต์อยู่บนท้องถนนในปัจจุบัน อาจต้องใช้เวลามากกว่าเดิม เพราะปัญหารถติด ซึ่งการนั่งอยู่แต่ในรถนานๆ อาจทำให้คุณเกิดอาการปวดหลังได้
     ปัญหาอาการปวดหลังนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากการเดินทางไกล และใกล้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้เป็นไปได้ทั้งท่านั่งขับรถที่ไม่ถูกต้อง และรวมไปถึงการขับรถเดินทางนานๆ ด้วยเช่นกัน

     สำหรับวิธีแก้ไขปัญหาอาการปวดหลังขณะขับรถ สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1. จอดรถพักผ่อนทุกๆ 2 ชั่วโมง แล้วลุกออกมาจากรถไปยืนแอ่นหลังประมาณ 15 วินาที และให้ทำแบบนี้ 2 - 3 ครั้ง
2. เดินไปเดินมารอบๆ ที่จอดพักรถ 5 นาที เพื่อคลายเส้น และกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้า
3. หากไม่มีที่ให้จอดพัก และขับรถมานานกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว ให้พยายามแอ่นหลังบ่อยๆ ในระหว่างที่ขับรถอยู่ (ขณะทำให้ระวังในเรื่องของการขับขี่ และอุบัติเหตุด้วย)
     แม้คุณจะนั่งขับขี่อย่างถูกวิธีแล้ว แต่มันก็ช่วยได้แค่คลายความตึงของกล้ามเนื้อเท่านั้น หากจำเป็นต้องขับรถเดินทางไกลนานๆ หรือเจอรถติดแบบยาวๆ ก็ลองนำวิธีที่ว่านี้ไปใช้เพื่อแก้ปวดหลังขณะขับขี่ดูได้ครับ
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 พฤติกรรมสุดอันตรายขณะขับรถด้วยความเร็วสูง



    การขับขี่รถยนต์ด้วยความเร็วสูง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้ง่ายและรุนแรงกว่าการขับขี่ในเมืองมาก ดังนั้น การขับรถเร็วควรใช้สมาธิและความระมัดระวังมากกว่าปกติ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ
     5 พฤติกรรมสุดอันตรายขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ที่คุณอาจเผลอทำอยู่ก็เป็นได้
203
1.จับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว
     หลายคนอาจต้องการความผ่อนคลายมากขึ้น จึงใช้วิธีจับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว ซึ่งหากเป็นการขับรถในเมืองสามารถทำได้ไม่มีปัญหา แต่หากจำเป็นต้องใช้ความเร็วสูง การจับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียวจะลดประสิทธิภาพการควบคุมพวงมาลัยหากจำเป็นต้องหลบหลีกสิ่งกีดขวางกะทันหัน ในกรณีรถตกหลุมหรือจั๊มพ์คอสะพานอย่างแรง อาจควบคุมพวงมาลัยไม่อยู่ จนรถเกิดการเสียหลักได้
     ทางที่ดีควรจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกา ซึ่งเป็นท่ามาตรฐานที่ทำให้อุ้งมือล็อคอยู่กับก้านพวงมาลัย ช่วยลดอาการสะบัดของพวงมาลัยในกรณีตกหลุมหรือจั๊มพ์คอสะพานได้

205
2.จับพวงมาลัยเบาเกินไป
     แม้ว่าจะจับพวงมาลัยอย่างถูกวิธีแล้ว แต่หากจับพวงมาลัยด้วยน้ำหนักมือเบาเกินไป ก็อาจเสี่ยงต่ออาการพวงมาลัยหลุดมือได้เช่นกัน โดยเฉพาะเวลาที่ล้อรถเกิดตกหลุมหรือวิ่งผ่านแอ่งน้ำ อาจทำให้รถเสียหลักได้ ดังนั้นจึงควรใช้น้ำหนักกำพวงมาลัยอย่างพอดี ไม่น้อยจนเกินไป

200
3.เปลี่ยนเลนหรือหักหลบอย่างรวดเร็ว
     การเปลี่ยนเลนกะทันหันพบได้บ่อยโดยเฉพาะวัยเพิ่งเริ่มขับรถ ที่มักมีความคึกคะนองมากเป็นพิเศษ ซึ่งหากเปลี่ยนเลนกะทันหันขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง อาจทำให้รถเสียการควบคุมได้ง่าย และยังรวมไปถึงกรณีหักหลบสิ่งกีดขวางบนท้องถนน เช่น หลุม, ฝาท่อ หรือสิ่งของอื่นๆ ที่ไม่ควรอยู่บนพื้นผิวถนน หากหักพวงมาลัยด้วยความรวดเร็วและรุนแรงมากเกินไป ก็อาจทำให้รถเสียหลักได้เช่นกัน

201
4.ขับรถจี้คันหน้ามากเกินไป
     การเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าน้อยเกินไป เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุมานักต่อนักแล้ว สาเหตุเนื่องจากเบรกไม่ทัน แถมยังเสี่ยงให้รถถูกชนท้ายต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ อีกด้วย ทั้งนี้ การขับรถด้วยความเร็วสูงควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 2 วินาทีขึ้นไป โดยเริ่มนับศูนย์จากจุดที่คันหน้าเคลื่อนผ่าน จากนั้นให้เว้นระยะห่างประมาณ 2 วินาที ก่อนที่รถของเราจะเคลื่อนผ่านจุดนั้นไป
     ในกรณีที่ถนนลื่น ควรเว้นระยะห่างเพิ่มขึ้นเป็น 3 วินาทีเป็นอย่างน้อย เนื่องจากรถจะใช้ระยะเบรกมากขึ้นกว่าปกติ

202
5.สายตาวอกแวก ไม่มองทางข้างหน้า
     สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการขับขี่ด้วยความเร็วสูง คือ สายตาจะต้องโฟกัสสิ่งต่างๆ ที่อยู่ข้างหน้าตลอดเวลา เพราะเหตุการณ์ต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที หากมัวใจจดใจจ่อกับการเลือกเพลงโปรด หรือหันหน้าคุยกับเพื่อน อาจทำให้ตัดสินใจควบคุมรถได้ไม่ทัน
ที่มา:sanook