วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ใบขับขี่หมดอายุแล้วเกิดอุบัติเหตุ ประกันจ่ายหรือไม่?


     หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าหากผู้ที่ไม่มีใบขับขี่ นำรถไปเกิดอุบัติเหตุ บ.ประกันมีสิทธิ์ไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ แล้วในกรณีใบขับขี่หมดอายุล่ะ แบบนี้ประกันจะจ่ายหรือเปล่า?
     ปัจจุบันใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลเป็นแบบชั่วคราว 5 ปี ไม่มีแบบตลอดชีพอีกต่อไปแล้ว (นอกจากคุณทำใบขับขี่ตลอดชีพทัน ก็จะได้รับใบขับขี่ตลอดชีพตลอดไป) ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานพอจะทำให้ใครหลายคนลืมสนใจว่าใบขับขี่จะหมดอายุเมื่อใด หากนำรถไปเกิดอุบัติเหตุแล้วพบว่าใบขับขี่หมดอายุในภายหลัง ก็ไม่ต้องตกใจไปครับ
     เพราะการที่คุณเคยได้รับใบขับขี่ แสดงถึงเจตนาและความสามารถในการขับรถแล้ว ดังนั้น หากประสบอุบัติเหตุในขณะที่ใบขับขี่หมดอายุ บ.ประกันยังคงรับผิดชอบทั้งเราและคู่กรณีเช่นเดิม

     หากว่าไม่เคยมีใบขับขี่มาก่อนเลย ก็ใช่ว่าบริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบทั้งหมดนะครับ เพราะประกันจะยังคงชดใช้ให้คู่กรณีตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่จะไม่รับผิดชอบความเสียหายของรถเราเท่านั้นครับ
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561

4 สัญญาณเตือนอันตรายก่อนเครื่องยนต์พัง


     หลายๆ คนอาจไม่เคยฉุกคิด หรือเอะใจเลยว่า เครื่องยนต์ใกล้พังมีอาการแบบไหน เนื่องจากไม่เคยสังเกต ไม่เคยใส่ใจต่ออาการที่มันคอยเตือนถึงความผิดปกติ จนกระทั่งมันกลับบ้านเก่าก่อนเวลาอันควร
     การขับขี่รถยนต์ นอกจากขับเป็น และขับถูกกฎจราจรแล้ว การรู้เรื่องรถของเราก็ถือเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเรื่องของเครื่องยนต์ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการขับเคลื่อนรถยนต์ของคุณให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าจนไปถึงจุดหมาย

     สำหรับสัญญาณเตือนก่อนเครื่องยนต์พัง มีอยู่หลักๆ ดังนี้
     1. ไฟสัญญาณเตือนที่หน้าปัดรถยนต์ ถือว่าเห็นชัด และง่ายมาก เพราะมันอยู่ตรงหน้าของคุณ ซึ่งไฟเตือนที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์อะไรขึ้นมาก็ตาม มันบอกได้อย่างเดียวว่า รถของคุณมีปัญหาแล้ว
     2. เสียงแปลกๆ ดังผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเสียดสี หรือเสียงกระทบกันของโลหะ ส่วนไหนก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นในระหว่างขับขี่ ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย ให้รีบนำรถเข้าตรวจสอบโดยด่วน
     3. กลิ่นเหม็นไหม้ หากขับรถอยู่แล้วได้กลิ่นเหม็นไหม้แปลกๆ ที่ไม่ว่ามันจะมาจากส่วนไหน แสดงว่ารถของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว ดังนั้นคุณควรจะรีบนำรถไปตรวจเช็กกับช่างให้เร็วที่สุด
     4. ท่อไอเสียมีควันผิดปกติ จริงๆ แล้วควันจากท่อไอเสียที่ดีจะต้องสะอาด ไร้กลิ่น และไร้สี แต่ถ้าเมื่อใดที่รถของคุณเริ่มมีปัญหา สีของควันที่ออกมาจะบ่งบอกถึงความผิดปกติของเครื่องยนต์ เช่น ควันสีขาวไม่มีกลิ่น, ควันสีฟ้าอ่อนมีกลิ่น ฯลฯ
     แม้การหมั่นสังเกตจะเป็นเรื่องดี แต่ก็อย่าให้มากเกินไป เพราะมันอาจทำให้คุณกลัวรถจะเป็นโน่นเป็นนี่ตลอดเวลา การขับรถไปด้วยใจหวาดหวั่นไม่ใช่เรื่องดี เผลอๆ อาจทำให้คุณกลายเป็นคนวิตกจริตไปได้ ทางที่ดีเอาแค่พอประมาณ ดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และคอยตรวจเช็กเมื่อถึงระยะที่กำหนด
ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2561

วิธีแก้อาการปวดหลังขณะขับรถใน 3 ขั้นตอน

     การขับขี่รถยนต์อยู่บนท้องถนนในปัจจุบัน อาจต้องใช้เวลามากกว่าเดิม เพราะปัญหารถติด ซึ่งการนั่งอยู่แต่ในรถนานๆ อาจทำให้คุณเกิดอาการปวดหลังได้
     ปัญหาอาการปวดหลังนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากการเดินทางไกล และใกล้ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้เป็นไปได้ทั้งท่านั่งขับรถที่ไม่ถูกต้อง และรวมไปถึงการขับรถเดินทางนานๆ ด้วยเช่นกัน

     สำหรับวิธีแก้ไขปัญหาอาการปวดหลังขณะขับรถ สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1. จอดรถพักผ่อนทุกๆ 2 ชั่วโมง แล้วลุกออกมาจากรถไปยืนแอ่นหลังประมาณ 15 วินาที และให้ทำแบบนี้ 2 - 3 ครั้ง
2. เดินไปเดินมารอบๆ ที่จอดพักรถ 5 นาที เพื่อคลายเส้น และกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้า
3. หากไม่มีที่ให้จอดพัก และขับรถมานานกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว ให้พยายามแอ่นหลังบ่อยๆ ในระหว่างที่ขับรถอยู่ (ขณะทำให้ระวังในเรื่องของการขับขี่ และอุบัติเหตุด้วย)
     แม้คุณจะนั่งขับขี่อย่างถูกวิธีแล้ว แต่มันก็ช่วยได้แค่คลายความตึงของกล้ามเนื้อเท่านั้น หากจำเป็นต้องขับรถเดินทางไกลนานๆ หรือเจอรถติดแบบยาวๆ ก็ลองนำวิธีที่ว่านี้ไปใช้เพื่อแก้ปวดหลังขณะขับขี่ดูได้ครับ
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 พฤติกรรมสุดอันตรายขณะขับรถด้วยความเร็วสูง



    การขับขี่รถยนต์ด้วยความเร็วสูง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้ง่ายและรุนแรงกว่าการขับขี่ในเมืองมาก ดังนั้น การขับรถเร็วควรใช้สมาธิและความระมัดระวังมากกว่าปกติ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ
     5 พฤติกรรมสุดอันตรายขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ที่คุณอาจเผลอทำอยู่ก็เป็นได้
203
1.จับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว
     หลายคนอาจต้องการความผ่อนคลายมากขึ้น จึงใช้วิธีจับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว ซึ่งหากเป็นการขับรถในเมืองสามารถทำได้ไม่มีปัญหา แต่หากจำเป็นต้องใช้ความเร็วสูง การจับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียวจะลดประสิทธิภาพการควบคุมพวงมาลัยหากจำเป็นต้องหลบหลีกสิ่งกีดขวางกะทันหัน ในกรณีรถตกหลุมหรือจั๊มพ์คอสะพานอย่างแรง อาจควบคุมพวงมาลัยไม่อยู่ จนรถเกิดการเสียหลักได้
     ทางที่ดีควรจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกา ซึ่งเป็นท่ามาตรฐานที่ทำให้อุ้งมือล็อคอยู่กับก้านพวงมาลัย ช่วยลดอาการสะบัดของพวงมาลัยในกรณีตกหลุมหรือจั๊มพ์คอสะพานได้

205
2.จับพวงมาลัยเบาเกินไป
     แม้ว่าจะจับพวงมาลัยอย่างถูกวิธีแล้ว แต่หากจับพวงมาลัยด้วยน้ำหนักมือเบาเกินไป ก็อาจเสี่ยงต่ออาการพวงมาลัยหลุดมือได้เช่นกัน โดยเฉพาะเวลาที่ล้อรถเกิดตกหลุมหรือวิ่งผ่านแอ่งน้ำ อาจทำให้รถเสียหลักได้ ดังนั้นจึงควรใช้น้ำหนักกำพวงมาลัยอย่างพอดี ไม่น้อยจนเกินไป

200
3.เปลี่ยนเลนหรือหักหลบอย่างรวดเร็ว
     การเปลี่ยนเลนกะทันหันพบได้บ่อยโดยเฉพาะวัยเพิ่งเริ่มขับรถ ที่มักมีความคึกคะนองมากเป็นพิเศษ ซึ่งหากเปลี่ยนเลนกะทันหันขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง อาจทำให้รถเสียการควบคุมได้ง่าย และยังรวมไปถึงกรณีหักหลบสิ่งกีดขวางบนท้องถนน เช่น หลุม, ฝาท่อ หรือสิ่งของอื่นๆ ที่ไม่ควรอยู่บนพื้นผิวถนน หากหักพวงมาลัยด้วยความรวดเร็วและรุนแรงมากเกินไป ก็อาจทำให้รถเสียหลักได้เช่นกัน

201
4.ขับรถจี้คันหน้ามากเกินไป
     การเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าน้อยเกินไป เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุมานักต่อนักแล้ว สาเหตุเนื่องจากเบรกไม่ทัน แถมยังเสี่ยงให้รถถูกชนท้ายต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ อีกด้วย ทั้งนี้ การขับรถด้วยความเร็วสูงควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 2 วินาทีขึ้นไป โดยเริ่มนับศูนย์จากจุดที่คันหน้าเคลื่อนผ่าน จากนั้นให้เว้นระยะห่างประมาณ 2 วินาที ก่อนที่รถของเราจะเคลื่อนผ่านจุดนั้นไป
     ในกรณีที่ถนนลื่น ควรเว้นระยะห่างเพิ่มขึ้นเป็น 3 วินาทีเป็นอย่างน้อย เนื่องจากรถจะใช้ระยะเบรกมากขึ้นกว่าปกติ

202
5.สายตาวอกแวก ไม่มองทางข้างหน้า
     สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการขับขี่ด้วยความเร็วสูง คือ สายตาจะต้องโฟกัสสิ่งต่างๆ ที่อยู่ข้างหน้าตลอดเวลา เพราะเหตุการณ์ต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที หากมัวใจจดใจจ่อกับการเลือกเพลงโปรด หรือหันหน้าคุยกับเพื่อน อาจทำให้ตัดสินใจควบคุมรถได้ไม่ทัน
ที่มา:sanook

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2561

หากหมุนพวงมาลัยจนสุดมีผลเสียอะไรบ้าง?



    การขับขี่รถยนต์ นอกจากจะต้องขับให้ถูกกฎ ถูกวินัยจราจรแล้ว การขับให้ถูกวิธีก็นับว่าสำคัญไม่แพ้กัน เพราะหากสักแต่ขับอย่างเดียวโดยไม่มีความระมัดระวัง ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นได้ในแบบที่คุณไม่ทันรู้ตัว
     ซึ่งในครั้งนี้เราจะพูดถึงเรื่อง การหมุน หรือหักพวงมาลัยจนสุด (อาจมีเสียงดังกึก) แล้วค้างไว้นานๆ ไม่ว่าจะเป็นซ้ายสุด หรือขวาสุดก็ตาม และในกรณีแบบนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อคุณจะยูเทิร์น หรือรอกลับรถเป็นส่วนใหญ่ ฯลฯ แต่ถ้ารถของคุณเป็นรถรุ่นใหม่ ใช้พวงมาลัยแบบไฟฟ้า ก็อาจไม่ต้องกังวลมากเท่าไรหนัก แต่ถ้ารถของคุณเป็นรุ่นเก่า ใช้พวงมาลัยเพาเวอร์ระบบไฮดรอลิคในการสร้างความดันน้ำมัน ก็ต้องระวังกันหน่อย
110

     เพราะการหมุนพวงมาลัยจนสุดแล้วค้างไว้นานๆ จะทำให้น้ำมันเพาเวอร์เกิดความร้อนสูง และระบบไฮดรอลิคก็จะมีความดันสูงมากเช่นกัน โดยผลเสียที่จะเกิดขึ้นหลักๆ มีดังนี้
     1. ปั๊มเพาเวอร์ทำงานหนัก และเมื่อมีอาการสะสมมากๆ จะทำให้เกิดเสียงดัง
     2. น้ำมันไฮดรอลิคเสื่อมสภาพเร็วขึ้นกว่าเดิม ใช้งานไม่ได้นาน
     3. ท่อยางต่างๆ ที่เป็นท่อทางเดินน้ำมันจะเกิดการรั่วซึมที่ข้อต่อ
     สำหรับการเลี้ยวโค้ง หรือการเข้าโค้งยาวๆ จะไม่ได้รับผลกระทบนี้ คุณสามารถเข้าโค้งได้อย่างสบายใจ แต่ถ้าเกิดกรณีจำเป็นต้องหมุนพวงมาลัยค้างไว้นานๆ ก็อย่าพยายามหมุนจนสุด ให้เหลือมุมการหมุน หรือคืนพวงมาลัยกลับมาเล็กน้อย เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นนั่นเอง
ที่มา:sanook

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 สิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจผิดเกี่ยวกับการขับรถ


     ปัจจุบันยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับรถยนต์และการขับรถอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่ขับรถมานานแล้ว หรือแม้แต่ผู้ที่เพิ่งหัดขับรถใหม่ๆ เราลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง?
200
1.รถใหญ่กว่าปลอดภัยกว่า
     หลายคนมองว่ารถประเภทเอสยูวีและพีพีวี มีความปลอดภัยกว่ารถเก๋งทั่วไป ซึ่งก็เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะในกรณีเกิดอุบัติเหตุระหว่างรถเอสยูวีกับรถเก๋ง รถเก๋งมักเกิดความเสียหายมากกว่า เนื่องจากกันชนที่คอยดูดซับแรงกระแทกของรถเก๋งอยู่ต่ำกว่านั่นเอง
     แต่ในอีกแง่หนึ่ง รถเอสยูวีและพีพีวีมีจุดศูนย์ถ่วงสูงกว่ารถเก๋งอยู่มาก ในกรณีขับรถด้วยความเร็วสูงแล้วต้องหักหลบสิ่งกีดขวางอย่างกะทันหัน ตัวรถมีสิทธิ์พลิกคว่ำเสียหลักได้ง่ายกว่ารถเก๋ง ดังนั้น หากบอกว่ารถเอสยูวี/พีพีวีปลอดภัยกว่ารถเก๋ง ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก 100 เปอร์เซ็นต์

205
2.รถเก่าเหล็กแข็งกว่ารถใหม่
     หลายคนชอบพูดเสมอกว่าเหล็กรถยนต์รุ่นใหม่ๆ สู้เหล็กรถสมัยก่อนไม่ได้ ทำให้มีโอกาสบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากรถใหม่ได้มากกว่า ซึ่งอันนี้ก็เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวอีกเช่นกัน เพราะขณะที่รถรุ่นใหม่ๆ ถูกหุ้มด้วยเหล็กที่มีความบางลงกว่าแต่ก่อน แต่ก็มีการออกแบบโครงสร้างเพื่อดูดซับและกระจายแรงกระแทกได้ดีกว่ารถรุ่นเก่ามาก ทำให้ตัวรถมีความปลอดภัยมากขึ้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งการใช้เหล็กหนาหรือบางแทบไม่ช่วยอะไรเลย

201
3.เกียร์ธรรมดาโบราณกว่าเกียร์ออโต้
     หลายคนมองว่ารถเกียร์ธรรมดาเป็นอะไรที่ล้าหลัง และไม่ควรมีในรถยุคใหม่แล้ว แต่ในความเป็นจริง เกียร์ธรรมดายังคงเป็นที่ชื่นชอบของชาวยุโรปมาก เนื่องจากช่วยส่งถ่ายกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อได้ดีกว่าเกียร์อัตโนมัติ ประหยัดน้ำมันมากกว่า แถมยังบำรุงรักษาง่ายกว่ามาก อายุการใช้งานของเกียร์ธรรมดาแทบจะเท่ากับอายุการใช้งานรถเลยทีเดียว แต่หากต้องเผชิญรถติดหนักๆ เป็นประจำทุกวัน หลายคนก็ต้องปลื้มเกียร์ออโต้มากกว่าแน่นอน

204
4.ซื้อรถแรงไปก็ไม่มีประโยชน์
     รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์แรงๆ ก็ไม่จำเป็นว่าต้องขับเร็วเสมอไป แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่ามันจะไม่มีประโยชน์บนถนนเมืองไทย เพราะเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูงกว่า จะช่วยให้อัตราเร่งดีกว่า ทำให้สามารถเร่งแซงหรือขับขึ้นทางชันได้รวดเร็วมากกว่า ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความปลอดภัยไปในตัวด้วย

203
5.มีใบขับขี่แสดงว่าขับรถเป็นแล้ว
     หลายคนยังมีความคิดว่า หากสอบใบขับขี่ผ่าน แสดงว่าขับรถเป็นแล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้น ใบขับขี่อาจไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเสมอไป เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่เรียนขับรถเพียงให้พอสอบผ่านเท่านั้น ซึ่งบนท้องถนนจริงมีสถานการณ์มากมายที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ทุกขณะ ดังนั้น แม้ว่าจะได้ใบขับขี่มาครอบครองแล้ว แต่คุณยังจำเป็นต้องเรียนรู้การขับขี่บนท้องถนนอีกเยอะ เพื่อให้รับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีที่สุด
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เทคนิคง่ายๆ ช่วยขจัดรอยขีดข่วนที่เบ้าประตูรถยนต์


     การใช้งานรถยนต์ในชีวิตประจำวัน ยิ่งใช้บ่อยก็ยิ่งต้องดูแลให้ดี เพราะการใช้งานเป็นประจำ ย่อมก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพ หรือเกิดการสึกหรอตามมา ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนใหญ่ๆ หรือชิ้นส่วนเล็กๆ อย่างเช่น เบ้าประตูรถยนต์
     บางคนอาจเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย จึงไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าใดนัก แต่สำหรับบางคนอาจเห็นแล้วรับไม่ได้ ที่รถคันโปรดจะมีรอยขูดขีดต่างๆ เกิดขึ้น ซึ่งรอยตรงเบ้าประตูรถยนต์ที่ว่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรอยเล็บของคุณเอง หรือผู้โดยสารคนอื่นๆ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสิ่งของต่างๆ และกุญแจรถ ที่อาจจะไปโดน หรือกระแทกโดยไม่ตั้งใจก็ได้

     ซึ่งวิธีแก้ไขรอยขูดขีดต่างๆ นี้ สามารถทำเองได้ง่ายๆ แถมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ก็หาได้ทั่วไปอีกด้วย ดังนี้
     อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. ผ้าสะอาด 2 ผืน
2. ยาสีฟันยี่ห้อใดก็ได้ (แบบไม่มีเม็ดบีดส์)
3. สบู่เหลว
4. น้ำเปล่า
     วิธีขัดรอยขูดขีด
1. บีบยาสีฟันไว้ที่ปลายนิ้วพอประมาณ จากนั้นกดสบู่เหลวลงไปผสมกัน
2. นำไปป้าย และละเลงที่เบ้าประตูรถยนต์ให้ทั่ว
3. นำผ้าสะอาดผืนแรกไปถูๆ ขัดๆ ให้ทั่ว (หากพบว่ายังมีรอยอยู่ ให้ลงยาสีฟันกับสบู่เหลวซ้ำอีกครั้ง)
4. หลังจากขัดถูจนแน่ใจว่าสะอาด และไม่มีรอยแล้ว ให้นำน้ำเปล่ามาราด หรือฉีดที่เบ้าประตูรถยนต์ จากนั้นนำผ้าสะอาดอีกผืนมาเช็ดทำความสะอาดให้แห้ง
     เพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอน เบ้าประตูรถยนต์ของคุณก็จะกลับมาดูดีเหมือนรถใหม่อีกครั้ง และขอแนะนำอีกหนึ่งวิธีในการปกป้อง แต่มันอาจต้องลงทุนเสียเงินนิดหน่อย เพราะคุณต้องไปหาซื้อฟิล์มกันรอยเบ้าประตูรถยนต์มาติดตั้งลงไปนั่นเอง
ที่มา:sanook