แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แอ่งน้ำ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ แอ่งน้ำ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

4 สิ่งควรทำขณะขับรถยามฝนโปรย

อาจจะเรียกได้ว่า ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเต็มตัวแล้ว บางวันตกกระหน่ำแทบทั้งวัน ซึ่งหลายคนอาจต้องขับรถฝ่าฝนไปทำงานในช่วงเช้าหรือกลับบ้านในช่วงหัวค่ำ จึงขอให้คำแนะนำ 4 สิ่งที่ควรทำหากต้องนั่งอยู่หลังพวงมาลัยขณะฝนตก เพื่อเลี่ยงกับอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้

01 ลดความเร็ว     

แน่นอนว่าฝนตกทำให้ถนนลื่นอยู่แล้ว สิ่งที่ควรทำคือการลดความเร็วลงมาเพื่อป้องกันรถเสียหลักลื่นไถล อีกทั้งการลดความเร็วมาอยู่ในระดับที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหันได้ จำไว้ว่าถนนที่ลื่นจะทำให้ระยะเบรกเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

02 เว้นระยะห่าง

จากที่ต้องอยู่ห่างจากคันหน้าราวๆ 2 วินาทีในยามที่ถนนแห้ง เมื่อฝนตกขึ้นมาคุณควรเว้นระยะห่างเป็น 3-4 วินาที วิธีนับก็ง่ายๆ แค่เพียงสังเกตจุดที่รถยนต์คันที่อยู่หน้าเราเคลื่อนผ่าน อาจจะเป็นหลักกิโลเมตรหรือเสาไฟฟ้า และนับเลขไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถของคุณเคลื่อนผ่านจุดๆ นั้น ก็ให้หยุดนับ ประมาณนี้

03 อย่าขับตรงแอ่งน้ำขัง

หากคุณใช้ความเร็วสูงแล้วขับฝ่าแอ่งน้ำขังถือว่าอันตรายมากๆ เพราะรถจะสูญเสียการควบคุมอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าระบบควบคุมเสถียรภาพของรถยนต์ก็สามารถช่วยในเรื่องนี้ได้ แต่ปลอดภัยไว้ก่อนก็ดีกว่ามิใช่หรือ

04 เปิดไฟหน้ารถ

ยิ่งฝนตกหนักยิ่งควรเปิด เพราะจะทำให้รถยนต์คันอื่นสามารถประเมินความเร็วและระยะห่างจากคันของคุณได้ ช่วยทั้งในเรื่องการเปลี่ยนเลน การเบรกต่างๆ ยิ่งหากทัศนวิสัยแย่มากๆ ก็อาจเปิดไฟตัดหมอกช่วยได้
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2562

7 เคล็ดลับขับรถบนถนนลื่นให้ปลอดภัย

ช่วงนี้ฝนตกลงมาทีไร ก็มักจะมาเป็นพายุ ลมพัดแรง ทัศนวิสัยในการขับขี่รถยนต์ก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ แถมถนนยังทั้งเปียก แฉะ และลื่น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก  จึงมีเคล็ดลับดีๆ มาฝากสำหรับการขับรถบนถนนที่ลื่นๆ ในฤดูฝนนี้

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 พฤติกรรมสุดอันตรายขณะขับรถด้วยความเร็วสูง



    การขับขี่รถยนต์ด้วยความเร็วสูง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้ง่ายและรุนแรงกว่าการขับขี่ในเมืองมาก ดังนั้น การขับรถเร็วควรใช้สมาธิและความระมัดระวังมากกว่าปกติ เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ
     5 พฤติกรรมสุดอันตรายขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง ที่คุณอาจเผลอทำอยู่ก็เป็นได้
203
1.จับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว
     หลายคนอาจต้องการความผ่อนคลายมากขึ้น จึงใช้วิธีจับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียว ซึ่งหากเป็นการขับรถในเมืองสามารถทำได้ไม่มีปัญหา แต่หากจำเป็นต้องใช้ความเร็วสูง การจับพวงมาลัยด้วยมือข้างเดียวจะลดประสิทธิภาพการควบคุมพวงมาลัยหากจำเป็นต้องหลบหลีกสิ่งกีดขวางกะทันหัน ในกรณีรถตกหลุมหรือจั๊มพ์คอสะพานอย่างแรง อาจควบคุมพวงมาลัยไม่อยู่ จนรถเกิดการเสียหลักได้
     ทางที่ดีควรจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกา ซึ่งเป็นท่ามาตรฐานที่ทำให้อุ้งมือล็อคอยู่กับก้านพวงมาลัย ช่วยลดอาการสะบัดของพวงมาลัยในกรณีตกหลุมหรือจั๊มพ์คอสะพานได้

205
2.จับพวงมาลัยเบาเกินไป
     แม้ว่าจะจับพวงมาลัยอย่างถูกวิธีแล้ว แต่หากจับพวงมาลัยด้วยน้ำหนักมือเบาเกินไป ก็อาจเสี่ยงต่ออาการพวงมาลัยหลุดมือได้เช่นกัน โดยเฉพาะเวลาที่ล้อรถเกิดตกหลุมหรือวิ่งผ่านแอ่งน้ำ อาจทำให้รถเสียหลักได้ ดังนั้นจึงควรใช้น้ำหนักกำพวงมาลัยอย่างพอดี ไม่น้อยจนเกินไป

200
3.เปลี่ยนเลนหรือหักหลบอย่างรวดเร็ว
     การเปลี่ยนเลนกะทันหันพบได้บ่อยโดยเฉพาะวัยเพิ่งเริ่มขับรถ ที่มักมีความคึกคะนองมากเป็นพิเศษ ซึ่งหากเปลี่ยนเลนกะทันหันขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูง อาจทำให้รถเสียการควบคุมได้ง่าย และยังรวมไปถึงกรณีหักหลบสิ่งกีดขวางบนท้องถนน เช่น หลุม, ฝาท่อ หรือสิ่งของอื่นๆ ที่ไม่ควรอยู่บนพื้นผิวถนน หากหักพวงมาลัยด้วยความรวดเร็วและรุนแรงมากเกินไป ก็อาจทำให้รถเสียหลักได้เช่นกัน

201
4.ขับรถจี้คันหน้ามากเกินไป
     การเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าน้อยเกินไป เป็นสาเหตุของอุบัติเหตุมานักต่อนักแล้ว สาเหตุเนื่องจากเบรกไม่ทัน แถมยังเสี่ยงให้รถถูกชนท้ายต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ อีกด้วย ทั้งนี้ การขับรถด้วยความเร็วสูงควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 2 วินาทีขึ้นไป โดยเริ่มนับศูนย์จากจุดที่คันหน้าเคลื่อนผ่าน จากนั้นให้เว้นระยะห่างประมาณ 2 วินาที ก่อนที่รถของเราจะเคลื่อนผ่านจุดนั้นไป
     ในกรณีที่ถนนลื่น ควรเว้นระยะห่างเพิ่มขึ้นเป็น 3 วินาทีเป็นอย่างน้อย เนื่องจากรถจะใช้ระยะเบรกมากขึ้นกว่าปกติ

202
5.สายตาวอกแวก ไม่มองทางข้างหน้า
     สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการขับขี่ด้วยความเร็วสูง คือ สายตาจะต้องโฟกัสสิ่งต่างๆ ที่อยู่ข้างหน้าตลอดเวลา เพราะเหตุการณ์ต่างๆ อาจเกิดขึ้นได้ทุกเสี้ยววินาที หากมัวใจจดใจจ่อกับการเลือกเพลงโปรด หรือหันหน้าคุยกับเพื่อน อาจทำให้ตัดสินใจควบคุมรถได้ไม่ทัน
ที่มา:sanook