วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

5 พฤติกรรมอันตรายของผู้หญิงขณะขับรถ


     คุณผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะสันทัดเรื่องรถยนต์เท่าใดนัก ซึ่งพฤติกรรมบางอย่างอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวเองและรถคันอื่นได้ เราลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง?

1.แต่งหน้าขณะขับรถ
     สิ่งที่เห็นได้เป็นประจำแทบทุกเช้าบนท้องถนน คือ คุณผู้หญิงที่แต่งหน้าไปด้วยขณะที่อยู่หลังพวงมาลัย โดยอาศัยจังหวะรถหยุดเคลื่อนตัวเพื่อเปิดกระจกแต่งหน้า ถึงแม้ว่าคุณผู้หญิงเองจะระมัดระวังเป็นอย่างดีแล้ว แต่อย่าลืมว่าบนท้องถนนยังมีผู้ขับขี่อื่นอีกมากมาย ที่อาจเผลอมาชนคุณได้ทุกเมื่อ ซึ่งอุปกรณ์แต่งหน้าทั้งหลายอาจทิ่มเข้าลูกตา จนทำให้บาดเจ็บรุนแรงได้

2.ใส่รองเท้าส้นสูงขณะขับรถ
     การใส่รองเท้าส้นสูงขณะขับรถจะทำให้ไม่สามารถเหยียบเบรกด้วยแรงเต็มฝ่าเท้าได้ถนัดนัก ในกรณีฉุกเฉินอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นจึงควรสวมรองเท้าพื้นเรียบขณะขับรถจะดีกว่า จากนั้นค่อยเปลี่ยนไปใส่รองเท้าส้นสูงเมื่อถึงจุดหมาย
202

3.วางรองเท้าหรือขวดน้ำไว้บนพื้น
     คุณผู้หญิงอาจมีรองเท้าเก็บไว้บนรถหลายคู่ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่บริเวณพื้นที่นั่งของผู้ขับขี่ ไม่ควรใช้วางรองเท้าหรือขวดน้ำใดๆ ซึ่งอาจไหลไปขัดกับแป้นเบรกหรือคันเร่ง ทำให้เร่งเครื่องยนต์โดยไม่ตั้งใจ หรืออาจไหลไปกองอยู่ใต้แป้นเบรก ส่งผลให้ไม่สามารถเหยียบเบรกได้ ทางที่ดีจึงควรวางรองเท้าหรือสิ่งของใดๆ ไว้บริเวณฝั่งผู้โดยสารจะดีกว่า

4.ไม่สนใจไฟเตือนบนหน้าปัด

     คุณผู้หญิงส่วนใหญ่มีความสนใจเกี่ยวกับรถยนต์น้อยกว่าผู้ชาย จึงทำให้ไม่ทราบถึงปัญหาเกี่ยวกับรถยนต์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น บางครั้งแม้ว่าหน้าปัดจะแสดงข้อความเตือน หรือปรากฏไฟสัญลักษณ์ขึ้นมา แต่ก็เลือกที่จะไม่สนใจกับมัน เหล่านี้อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการขับขี่ได้ และอาจทำให้รถเสื่อมสภาพอย่างที่ไม่ควรเป็นอีกด้วย
200

5.ไม่ดูแลรถอย่างเหมาะสม
     แม้ว่าคุณผู้หญิงจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไกมากนัก แต่ก็ควรนำรถเข้าเช็คระยะเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้รถยนต์ได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมใช้ตลอดเวลา รถส่วนมากมักต้องเข้าเช็คระยะทุก 10,000 กิโลเมตร บางรุ่นอาจขึ้นไปเป็น 20,000 กิโลเมตร ดังนั้น อย่างน้อยๆ ก็ควรตรวจสอบว่ารถวิ่งไปเป็นระยะทางเท่าไหร่แล้ว จะได้นำรถเข้าศูนย์ได้ตรงเวลา

     สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพื่อความปลอดภัยของคุณเองและคนรอบข้างครับ

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ของแถมอะไรบ้างที่ควรขอจากเซลส์เมื่อซื้อรถป้ายแดง

  

   ของแถมจากรถป้ายแดงส่วนใหญ่มีทั้งของที่มีมูลค่ามากและน้อยต่างกันไป เซลส์บางคนใช้วิธีเขียนรายการของแถมให้ดูเยอะเข้าไว้ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่ากว่าไปถอยรถจากดีลเลอร์เจ้าอื่น แต่บางครั้งเมื่อนำมารวมๆ กันแล้ว อาจมีมูลค่าน้อยกว่าที่ควรจะได้รับก็เป็นได้
     ขอแนะนำของแถมรถป้ายแดงที่ควรขอจากเซลส์เป็นพิเศษ ดังนี้
1.ส่วนลดเงินสด/เงินดาวน์
     ส่วนลดเงินสดหรือเงินดาวน์มักถูกเสนอให้กับรถที่มีอายุตลาดนาน หรือรถที่ใกล้เปลี่ยนโฉมเต็มที หากเป็นรถที่มีมูลค่าสูง ก็ยังสามารถต่อรองได้อีกนิดหน่อยตามสมควร แต่หากเป็นรถที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ เซลส์มักจะให้เลือกระหว่างส่วนลดหรือของแถมรายการอื่นๆ ก็ให้ค่อยๆ พิจารณาถึงความคุ้มค่าของตัวเราเองเป็นหลัก แต่หากบางที่เสนอเป็นของแถมที่เราไม่ต้องการ ก็อาจต่อรองขอเปลี่ยนเป็นส่วนลดเพิ่มดูได้
2.ฟิล์มกรองแสงคุณภาพดี
     ดีลเลอร์แทบทุกเจ้ามักแถมฟิล์มกรองแสงให้รถทุกคันอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ การเลือกฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพสูง มียี่ห้อเป็นที่รู้จักในตลาดและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ซึ่งมูลค่าของฟิล์มกรองแสงเริ่มต้นที่พันกว่าบาท ไปจนถึงหลักหมื่นก็มี ดังนั้น จึงควรสอบถามและต่อรองกับเซลส์เพื่อให้ได้ฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพดีที่สุด ทางที่ดีควรมีใบรับประกันจากทางร้านที่ติดตั้งให้ด้วย

3.ชุดแต่งรอบคัน (แท้)

     หากชื่นชอบความเท่ไม่ซ้ำใคร ก็สามารถพูดคุยกับเซลส์เพื่อขอรับชุดแต่งรอบคันเป็นของแถมได้ แต่จุดสำคัญ คือ ควรเลือกชุดแต่งแท้จากผู้ผลิตเป็นหลัก ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าชุดแต่งนอก และยังติดตั้งได้พอดีกับตัวรถมากกว่า แต่หากต้องการดีไซน์แปลกแหวกแนวจริงๆ ก็ควรเลือกชุดแต่งที่มีคุณภาพเสียหน่อย ทั้งวัสดุชิ้นงานและการทำสี ก็จะช่วยลดปัญหาในระยะยาวได้
4.ประกันภัยชั้น 1
     ประกันภัยชั้น 1 ที่เซลส์แถมให้นั้น ควรเป็นประกันซ่อมห้าง ไม่ใช่ซ่อมอู่ (นอกเสียจากว่ารถยี่ห้อนั่นไม่มีศูนย์ทำสีเป็นของตัวเองจริงๆ) และควรใช้บริษัทประกันที่มีความน่าเชื่อถือ จะได้ไม่เกิดปัญหาเวลาเคลมในภายหลัง
     ส่วนรายการของแถมที่ไม่แนะนำให้รับนั้น นั่นคือ การพ่นกันสนิม เนื่องจากรถใหม่ทุกคันถูกเคลือบกันสนิมมาแล้วจากโรงงาน ขณะที่การพ่นกันสนิมที่ได้รับเป็นของแถมนั้น อาจไม่ได้รับการพ่นจริง หรือพ่นไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร ดังนั้น หากกังวลจริงๆ ว่ารถจะเป็นสนิม ก็ควรเลือกร้านที่ไว้ใจได้เองในภายหลังจะดีกว่าครับ
     ขณะที่ของแถมยิบย่อยอื่นๆ เช่น ผ้ายางปูพื้น, หมอน, ถังขยะ, ชิ้นส่วนโครเมียมต่างๆ ฯลฯ เหล่านี้เป็นของที่มีมูลค่าน้อย และไม่จำเป็นต้องรับก็ได้ หากสามารถแลกเปลี่ยนเป็นส่วนลดได้จะดีมากครับ
ที่มา:sanook

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561

รู้ยัง! หยุดรถทับทางม้าลายนอกจาก "ไร้น้ำใจ" แล้วยัง "ผิดกฎหมาย" ด้วย



    การหยุดรถทับทางม้าลาย นอกจากจะทำให้คนเดินถนนใช้ทางได้อย่างลำบากแล้ว ยังผิดกฎหมายมีโทษปรับอีกด้วย
     คนส่วนใหญ่มักคิดว่ารถยนต์ต้องมาก่อนคนเดินถนนเสมอ จึงทำให้เห็นภาพรถยนต์หยุดทับทางข้ามหรือทางม้าลายกันจนชินตา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เรียกได้ว่าน่ารังเกียจอย่างมาก เนื่องจากเป็นการหยุดรถขวางทางคนเดินถนน ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกและเสี่ยงอันตรายได้
01
     ปัจจุบันมีพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ควบคุมผู้ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทางข้าม ได้แก่
     1.บังคับให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจรและเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้หรือทำให้ปรากฏในทาง (มาตรา 21) มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งในที่นี้สามารถบังคับใช้ในกรณีไม่หยุดรถตามสัญญาณไฟสีแดง เพื่อให้คนเดินถนนข้ามไปก่อน
     2.ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถแซงเพื่อขึ้นหน้ารถคันอื่นภายในระยะ 30 เมตรก่อนถึงทางข้าม และเมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย (มาตรา 46) ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 400 - 1,000 บาท
     3.ห้ามมิให้ผู้ขับขี่จอดรถในทางข้ามหรือในระยะ 3 เมตรจากทางข้าม (มาตรา 57) ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 500 บาท
     นอกจากข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ทางข้ามแล้วนั้น หากหยุดรถขับทางข้ามยังเป็นการแสดงถึงความแล้งน้ำใจต่อผู้ร่วมทางอีกด้วย
ที่มา:sanook

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เจอ 6 อาการแบบนี้เตรียมเปลี่ยน "แบตเตอรี่" ลูกใหม่ได้เลย


     แบตเตอรี่ ถือเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งในการสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อใช้ในการเดิน ทาง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมันจะมีอายุการใช้งาน 1.5 - 3 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน
     จริงๆ แล้วไม่ว่าแบตเตอรี่ที่ใช้จะเป็นแบบแห้ง หรือแบบเปียก มักจะมีสัญญาณเตือนก่อนที่แบตฯ จะหมดคล้ายๆ กัน

     ซึ่งสัญญาณเตือนแบตเตอรี่มีปัญหา มีอยู่หลักๆ ดังนี้
1. เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ จะรู้สึกว่าเครื่องไม่ค่อยมีกำลัง สตาร์ทติดยากกว่าที่เคยเป็น
2. หลังจากจอดรถดับเครื่องแล้วทิ้งไว้สักครู่ หรือดับเครื่องเสร็จแล้วสตาร์ทใหม่ทันที รถจะสตาร์ทติดยาก ต้องพยายามสตาร์ทหลายๆ ครั้งถึงจะติด
3. ไฟส่องสว่างด้านหน้ารถยนต์ไม่ส่องสว่างเท่าเดิม
4. ระบบล็อคประตู และการทำงานของกระจกไฟฟ้าช้าลงกว่าปกติ อืดๆ ไม่เร็วเหมือนเดิม
5. แบตเตอรี่แบบเปียก น้ำกลั่นหมดเร็วกว่าเดิม ต้องเติมถี่ และบ่อยขึ้น
6. ถึงขั้นต้องพ่วงแบตฯ เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ในการสตาร์ทรถยนต์ เพราะสตาร์ทรถไม่ติดเลย
     เมื่อไหร่ที่เกิดอาการเหล่านี้ขึ้น ให้คุณเตรียมตัวเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้เลย ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะไม่แน่ว่ามันจะไปหมดกลางทางที่ไหน และเมื่อไหร่ หากเจอแจ๊กพ็อตในขณะที่มีธุระเร่งด่วนมากๆ มีหงุดหงิดแน่ๆ
ที่มา:sanook

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

กระบะแต่งควันดำระวังให้ดี ตร.มีสิทธิ์สั่ง "ห้ามใช้รถเด็ดขาด"!



    รู้หรือไม่ว่ารถควันดำมีความผิดตามกฎหมาย นอกจากจะมีโทษปรับแล้ว อาจถูกสั่งห้ามใช้รถชั่วคราว ไปจนถึงห้ามใช้โดยเด็ดขาดได้
202
     ปัจจุบันความนิยมแต่งรถกระบะเพิ่มขึ้นสูงมาก นอกเหนือจากการตกแต่งเพื่อเพิ่มความสวยงามแล้ว เจ้าของรถกระบะหลายคนยังนิยมปรับจูนเครื่องยนต์เพื่อให้มีสมรรถนะเพิ่มขึ้นด้วย แต่หลายครั้งที่การปรับจูนดังกล่าวนำมาซึ่งปัญหาควันดำ ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมักเกิดจากการอุดระบบหมุนเวียนไอเสีย (EGR), เพิ่มแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง และการถอด Catalytic converter เป็นต้น
     การกระทำดังกล่าวที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษ ควันดำ ล้วนแต่เป็นการกระทำผิดกฎหมาย มีโทษปรับตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 ข้อหานำรถที่มีอุปกรณ์ส่วนควบไม่ได้มาตรฐานก่อให้เกิดมลพิษมาใช้ในทางวิ่ง มีโทษปรับสูงสุด 500 บาท ขณะที่รถบรรทุกปรับไม่เกิน 5,000 บาท
     ไม่เพียงเท่านั้น รถยนต์ที่ปล่อยควันดำเกินร้อยละ 50 ด้วยเครื่องมือวัดควันดำระบบกระดาษกรอง หรือเกินร้อยละ 45 ด้วยเครื่องมือระบบวัดความทึบแสง จะถูกติดสติ๊กเกอร์ "ห้ามใช้ชั่วคราว" เพื่อให้นำรถไปแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ภายใน 30 วัน หากพ้น 30 วันแล้วแต่ยังไม่มีการแก้ไขปรับปรุง จะถูกสั่ง "ห้ามใช้เด็ดขาด" โดยจะสามารถเคลื่อนย้ายรถได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น
203
204
     ประเภทรถยนต์ที่จะถูกห้ามใช้ตามกฎหมายหากมีควันดำเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด มีดังนี้
     1.รถยนต์ส่วนบุคคล ได้แก่ รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคลซึ่งมิได้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก เช่น รถกระบะหรือรถปิ๊กอัพ รถตู้ เป็นต้น
     2.รถยนต์สาธารณะ ได้แก่ รถยนต์รับจ้างระหว่างจังหวัด หรือรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน หรือ รถยนต์สาธารณะอื่นนอกจากรถยนต์โดยสารประจำทาง
     3.รถยนต์บริการ ได้แก่ รถยนต์บริการธุรกิจ รถยนต์บริการทัศนาจร รถยนต์บริการให้เช่า
     4.รถพ่วง
     5.รถบดถนน
     6.รถแทรกเตอร์
     หากฝ่าฝืนนำรถที่ติดเครื่องหมายห้ามใช้มาใช้งาน จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท และหากฉีก/แกะเครื่องหมาย "ห้ามใช้ชั่วคราว" หรือ "ห้ามใช้เด็ดขาด" จะมีความผิดทางอาญาด้วย
201
     นอกจากนั้น ผู้ที่ไม่หยุดรถเพื่อให้เจ้าพนักงานตรวจสอบเครื่องยนต์และอุปกรณ์ของรถยนต์ ยังมีโทษตามมาตรา 103 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2561

แนะนำ 5 สถานที่ต่อภาษีรถยนต์โดยไม่ต้องไปขนส่งฯ



    การต่อภาษีรถยนต์ประจำปี นอกจากจะดำเนินการได้ด้วยตัวเองที่สำนักงานขนส่งแล้ว ยังสามารถต่อภาษี ณ ที่ทำการของเอกชนได้อีกหลายแห่งทั่วประเทศ รวมถึงสามารถต่อภาษีในวันเสาร์-อาทิตย์ได้อีกด้วย ซึ่งบทความนี้เรานำมารวบรวมให้ทราบกันครับ
1.สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีได้
1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1)
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2)
3.รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3)
4.รถจักรยานยนต์ (รย.12)
5.รถแทรกเตอร์ (รย.13)
6.รถบดถนน (รย.14)
7.รถพ่วง (รย.16)
หลักฐานที่ใช้
1.ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
2.หลักฐานการเอาประกันภัยตาม พ.ร.บ.
3.ใบรับรองการตรวจสภาพรถ (สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป หรือรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป)

2.ที่ทำการไปรษณีย์
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีได้
1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1)
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2)
3.รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3)
4.รถจักรยานยนต์ (รย.12)
5.รถแทรกเตอร์ (รย.13)
6.รถบดถนน (รย.14)
7.รถพ่วง (รย.16)
หลักฐานที่ใช้
1.ใบคู่มือจดทะเบียนรถ (ถ้ามี)
2.หลักฐานการเอาประกันภัยตาม พ.ร.บ.
3.ใบรับรองการตรวจสภาพรถ (สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป หรือรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป)

3.ห้างสรรพสินค้า โครงการ "ช้อปให้พอ แล้วต่อภาษี (Shop Thru for Tax)"
**ต่อภาษีวันเสาร์-อาทิตย์ได้**
1.Big-C เวลาเปิด 09.00 - 17.00 น.
สาขาลาดพร้าว, รามอินทรา, รัชดาภิเษก, บางปะกอก, เพชรเกษม, สุขาภิบาล3, อ่อนนุช, แจ้งวัฒนะ, สำโรง, บางบอน, สุวินทวงศ์, สมุทรปราการ, บางใหญ่และบางนา
2.เซ็นทรัล รามอินทรา เวลาเปิด 10.00 - 17.00 น.
3.พาราไดซ์ พาร์ค ถนนศรีนครินทร์ เวลาเปิด 10.00 - 17.00 น.
4.เซ็นทรัลเวิลด์ เวลาเปิด 11.00 - 18.00 น.
5.ศูนย์บริการร่วมคมนาคม เชิงสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน เปิดวันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา 08.30 - 15.00 น.
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีได้
1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1)
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2)
3.รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3)
4.รถจักรยานยนต์ (รย.12)
หลักฐานที่ใช้
1.ใบคู่มือจดทะเบียนรถหรือสำเนา
2.หลักฐานการเอาประกันภัยตาม พ.ร.บ.
3.หนังสือรับรองการตรวจสภาพรถจากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) เฉพาะรถเก๋ง รถตู้ รถปิคอัพ และรถสองแถวที่จดทะเบียนตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป
4.หนังสือรับรองการตรวจ และทดสอบส่วนควบและเครื่องอุปกรณ์ของรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง รับชำระภาษีรถทั่วประเทศไม่ว่ารถนั้นจะจดทะเบียนไว้ที่จังหวัดใด

4.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีได้
1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1)
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2)
3.รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3)
4.รถจักรยานยนต์ (รย.12)
หลักฐานที่ใช้
1.ใบคู่มือจดทะเบียนรถ
2.หลักฐานการเอาประกันภัยตาม พ.ร.บ.
3.ใบรับรองการตรวจสภาพรถ (สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน หรือรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป หรือรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนมาแล้วตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป)
เงื่อนไข
1.เป็นรถที่ไม่มีภาษีค้างชำระหรือมีภาษีค้างชำระไม่เกิน 1 ปี หรือมีภาษีค้างชำระเกิน 1 ปี ที่นายทะเบียนได้ประกาศยกเว้นการตรวจสภาพรถก่อนเสียภาษีประจำปี
2.ยื่นขอเสียภาษีประจำปีล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน ก่อนวันครบกำหนดเสียภาษี เว้นแต่รถที่มีภาษีค้างชำระให้ยื่นได้ทันที

5.จุดบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิสทั่วประเทศ
เวลาเปิดวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 7.30 - 15.30 น.
ประเภทรถที่สามารถต่อภาษีได้
1.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (รย.1)
2.รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน (รย.2)
3.รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล (รย.3)
4.รถจักรยานยนต์ (รย.12)
เงื่อนไข
1.รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี
2.รถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี
3.ทางกรมการขนส่งทางบกจะทำการนำส่งใบเสร็จ และป้ายวงกลมทางไปรษณีย์ ตามที่อยู่ที่ท่านระบุภายใน 10 วันนับจากวันที่ชำระเงิน
4.ค่าบริการเคาน์เตอร์เซอร์วิส 20 บาท และค่าจัดส่งป้ายวงกลม 40 บาท
5.รถที่มียอดค้างชำระเกินกำหนด 3 ปี ชำระได้ที่กรมการขนส่งทางบกเท่านั้น
ที่มา:sanook

วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ใบขับขี่หมดอายุแล้วเกิดอุบัติเหตุ ประกันจ่ายหรือไม่?


     หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าหากผู้ที่ไม่มีใบขับขี่ นำรถไปเกิดอุบัติเหตุ บ.ประกันมีสิทธิ์ไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ แล้วในกรณีใบขับขี่หมดอายุล่ะ แบบนี้ประกันจะจ่ายหรือเปล่า?
     ปัจจุบันใบขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคลเป็นแบบชั่วคราว 5 ปี ไม่มีแบบตลอดชีพอีกต่อไปแล้ว (นอกจากคุณทำใบขับขี่ตลอดชีพทัน ก็จะได้รับใบขับขี่ตลอดชีพตลอดไป) ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานพอจะทำให้ใครหลายคนลืมสนใจว่าใบขับขี่จะหมดอายุเมื่อใด หากนำรถไปเกิดอุบัติเหตุแล้วพบว่าใบขับขี่หมดอายุในภายหลัง ก็ไม่ต้องตกใจไปครับ
     เพราะการที่คุณเคยได้รับใบขับขี่ แสดงถึงเจตนาและความสามารถในการขับรถแล้ว ดังนั้น หากประสบอุบัติเหตุในขณะที่ใบขับขี่หมดอายุ บ.ประกันยังคงรับผิดชอบทั้งเราและคู่กรณีเช่นเดิม

     หากว่าไม่เคยมีใบขับขี่มาก่อนเลย ก็ใช่ว่าบริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบทั้งหมดนะครับ เพราะประกันจะยังคงชดใช้ให้คู่กรณีตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่จะไม่รับผิดชอบความเสียหายของรถเราเท่านั้นครับ
ที่มา:sanook