วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

5 สิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจผิดเกี่ยวกับการขับรถ


     ปัจจุบันยังมีความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับรถยนต์และการขับรถอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ที่ขับรถมานานแล้ว หรือแม้แต่ผู้ที่เพิ่งหัดขับรถใหม่ๆ เราลองไปดูกันว่ามีอะไรบ้าง?
200
1.รถใหญ่กว่าปลอดภัยกว่า
     หลายคนมองว่ารถประเภทเอสยูวีและพีพีวี มีความปลอดภัยกว่ารถเก๋งทั่วไป ซึ่งก็เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะในกรณีเกิดอุบัติเหตุระหว่างรถเอสยูวีกับรถเก๋ง รถเก๋งมักเกิดความเสียหายมากกว่า เนื่องจากกันชนที่คอยดูดซับแรงกระแทกของรถเก๋งอยู่ต่ำกว่านั่นเอง
     แต่ในอีกแง่หนึ่ง รถเอสยูวีและพีพีวีมีจุดศูนย์ถ่วงสูงกว่ารถเก๋งอยู่มาก ในกรณีขับรถด้วยความเร็วสูงแล้วต้องหักหลบสิ่งกีดขวางอย่างกะทันหัน ตัวรถมีสิทธิ์พลิกคว่ำเสียหลักได้ง่ายกว่ารถเก๋ง ดังนั้น หากบอกว่ารถเอสยูวี/พีพีวีปลอดภัยกว่ารถเก๋ง ก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก 100 เปอร์เซ็นต์

205
2.รถเก่าเหล็กแข็งกว่ารถใหม่
     หลายคนชอบพูดเสมอกว่าเหล็กรถยนต์รุ่นใหม่ๆ สู้เหล็กรถสมัยก่อนไม่ได้ ทำให้มีโอกาสบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากรถใหม่ได้มากกว่า ซึ่งอันนี้ก็เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวอีกเช่นกัน เพราะขณะที่รถรุ่นใหม่ๆ ถูกหุ้มด้วยเหล็กที่มีความบางลงกว่าแต่ก่อน แต่ก็มีการออกแบบโครงสร้างเพื่อดูดซับและกระจายแรงกระแทกได้ดีกว่ารถรุ่นเก่ามาก ทำให้ตัวรถมีความปลอดภัยมากขึ้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งการใช้เหล็กหนาหรือบางแทบไม่ช่วยอะไรเลย

201
3.เกียร์ธรรมดาโบราณกว่าเกียร์ออโต้
     หลายคนมองว่ารถเกียร์ธรรมดาเป็นอะไรที่ล้าหลัง และไม่ควรมีในรถยุคใหม่แล้ว แต่ในความเป็นจริง เกียร์ธรรมดายังคงเป็นที่ชื่นชอบของชาวยุโรปมาก เนื่องจากช่วยส่งถ่ายกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อได้ดีกว่าเกียร์อัตโนมัติ ประหยัดน้ำมันมากกว่า แถมยังบำรุงรักษาง่ายกว่ามาก อายุการใช้งานของเกียร์ธรรมดาแทบจะเท่ากับอายุการใช้งานรถเลยทีเดียว แต่หากต้องเผชิญรถติดหนักๆ เป็นประจำทุกวัน หลายคนก็ต้องปลื้มเกียร์ออโต้มากกว่าแน่นอน

204
4.ซื้อรถแรงไปก็ไม่มีประโยชน์
     รถยนต์ที่มีเครื่องยนต์แรงๆ ก็ไม่จำเป็นว่าต้องขับเร็วเสมอไป แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่ามันจะไม่มีประโยชน์บนถนนเมืองไทย เพราะเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูงกว่า จะช่วยให้อัตราเร่งดีกว่า ทำให้สามารถเร่งแซงหรือขับขึ้นทางชันได้รวดเร็วมากกว่า ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความปลอดภัยไปในตัวด้วย

203
5.มีใบขับขี่แสดงว่าขับรถเป็นแล้ว
     หลายคนยังมีความคิดว่า หากสอบใบขับขี่ผ่าน แสดงว่าขับรถเป็นแล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้น ใบขับขี่อาจไม่ได้เป็นตัวชี้วัดเสมอไป เพราะคนจำนวนไม่น้อยที่เรียนขับรถเพียงให้พอสอบผ่านเท่านั้น ซึ่งบนท้องถนนจริงมีสถานการณ์มากมายที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ทุกขณะ ดังนั้น แม้ว่าจะได้ใบขับขี่มาครอบครองแล้ว แต่คุณยังจำเป็นต้องเรียนรู้การขับขี่บนท้องถนนอีกเยอะ เพื่อให้รับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีที่สุด
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เทคนิคง่ายๆ ช่วยขจัดรอยขีดข่วนที่เบ้าประตูรถยนต์


     การใช้งานรถยนต์ในชีวิตประจำวัน ยิ่งใช้บ่อยก็ยิ่งต้องดูแลให้ดี เพราะการใช้งานเป็นประจำ ย่อมก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพ หรือเกิดการสึกหรอตามมา ไม่ว่าจะเป็นชิ้นส่วนใหญ่ๆ หรือชิ้นส่วนเล็กๆ อย่างเช่น เบ้าประตูรถยนต์
     บางคนอาจเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย จึงไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าใดนัก แต่สำหรับบางคนอาจเห็นแล้วรับไม่ได้ ที่รถคันโปรดจะมีรอยขูดขีดต่างๆ เกิดขึ้น ซึ่งรอยตรงเบ้าประตูรถยนต์ที่ว่านี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรอยเล็บของคุณเอง หรือผู้โดยสารคนอื่นๆ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงสิ่งของต่างๆ และกุญแจรถ ที่อาจจะไปโดน หรือกระแทกโดยไม่ตั้งใจก็ได้

     ซึ่งวิธีแก้ไขรอยขูดขีดต่างๆ นี้ สามารถทำเองได้ง่ายๆ แถมอุปกรณ์ที่ต้องใช้ก็หาได้ทั่วไปอีกด้วย ดังนี้
     อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. ผ้าสะอาด 2 ผืน
2. ยาสีฟันยี่ห้อใดก็ได้ (แบบไม่มีเม็ดบีดส์)
3. สบู่เหลว
4. น้ำเปล่า
     วิธีขัดรอยขูดขีด
1. บีบยาสีฟันไว้ที่ปลายนิ้วพอประมาณ จากนั้นกดสบู่เหลวลงไปผสมกัน
2. นำไปป้าย และละเลงที่เบ้าประตูรถยนต์ให้ทั่ว
3. นำผ้าสะอาดผืนแรกไปถูๆ ขัดๆ ให้ทั่ว (หากพบว่ายังมีรอยอยู่ ให้ลงยาสีฟันกับสบู่เหลวซ้ำอีกครั้ง)
4. หลังจากขัดถูจนแน่ใจว่าสะอาด และไม่มีรอยแล้ว ให้นำน้ำเปล่ามาราด หรือฉีดที่เบ้าประตูรถยนต์ จากนั้นนำผ้าสะอาดอีกผืนมาเช็ดทำความสะอาดให้แห้ง
     เพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอน เบ้าประตูรถยนต์ของคุณก็จะกลับมาดูดีเหมือนรถใหม่อีกครั้ง และขอแนะนำอีกหนึ่งวิธีในการปกป้อง แต่มันอาจต้องลงทุนเสียเงินนิดหน่อย เพราะคุณต้องไปหาซื้อฟิล์มกันรอยเบ้าประตูรถยนต์มาติดตั้งลงไปนั่นเอง
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ที่ปัดน้ำฝนเสียงดัง สาเหตุเกิดขึ้นจากอะไร



เริ่มเข้าสู่ช่วงหน้าฝน การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากคุณขับรถไปแล้วเกิดปัญหาระหว่างทางที่ฝนตก มันคงจะน่าหงุดหงิดไม่น้อย
      ซึ่งปัญหาหนึ่งที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำและถือเป็นตัวช่วยสำคัญเมื่อเจอกับพายุฝนกระหน่ำตกมาแบบแรงๆ เม็ดใหญ่ๆ นั่นก็คือ ที่ปัดน้ำฝน
      ส่วนใหญ่ยางที่ใช้ปัดน้ำฝนจะมีอายุการใช้งาน 1 ปี เมื่อครบรอบ หรือก่อนจะเข้าหน้าฝนก็ควรจะเปลี่ยนใหม่ เพราะหากยังฝืนใช้งานต่อไป ที่ปัดน้ำฝนจะเกิดเสียงดัง และปัดไม่สะอาดหมดจดเหมือนตอนแรก

      สำหรับสาเหตุที่ทำให้ที่ปัดน้ำฝนเกิดเสียงดัง มีอยู่ดังนี้
1. เนื้อยางที่ปัดน้ำฝนแข็งขึ้น-เสื่อมสภาพ
2. ตัวยางที่ปัดน้ำฝนกับกระจกเกิดความฝืด
3. แรงกดระหว่างยางที่ปัดน้ำฝนกับกระจกมีมากเกินไป
      นอกจากนี้ การดูแลที่ปัดน้ำฝนก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ แถมยังเป็นเรื่องง่าย ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่นำผ้าไปชุบน้ำบิดหมาดๆ แล้วรูดไปที่ยางปัดน้ำฝนให้ทั่วก็เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคุณควรดูแลที่ปัดน้ำฝนให้ดี หรือเปลี่ยนใหม่ทันทีเมื่อยางปัดเสื่อมสภาพ จะได้ไม่ต้องมานั่งหงุดหงิดทีหลัง
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

สูตรเด็ด! ทำน้ำยาเช็ดยางรถยนต์ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเสียเงินซื้อ


     การดูแลรักษาความสะอาดรถยนต์ด้วยตนเอง ถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะคุณสามารถรู้ได้ทันทีเลยว่า ภายนอก และภายใน มีตรงจุดไหนบ้างที่เป็นรอย หรือเสียหาย ฯลฯ เพื่อที่คุณจะได้รู้เท่าทัน และทำการขจัดสิ่งเหล่านั้นก่อนที่มันจะติดลึก และฝังแน่น
     ซึ่งถึงแม้อุปกรณ์ทำความสะอาดรถยนต์จะหาซื้อได้ทั่วไป วางขายกันเกลื่อนตลาด แต่บางอย่างคุณเองก็สามารถทำขึ้นมาใช้เองได้ อย่างเช่น น้ำยาเช็ดยางรถยนต์ ที่ลงทุนไม่กี่บาท แต่เก็บไว้ใช้งานได้ยาวๆ


     สำหรับการทำน้ำยาเช็ดยางรถยนต์ขึ้นมาใช้เอง มีอุปกรณ์ที่ต้องเตรียม และวิธีทำ ดังนี้
อุปกรณ์สำหรับทำน้ำยาเช็ดยางรถยนต์
     1. น้ำอัดลม 1 ขวด (ใช้เฉพาะสีดำเท่านั้น)
     2. น้ำยาล้างจาน 1 ขวด (ยี่ห้อใดก็ได้)
     3. น้ำยาปรับผ้านุ่ม 1 ขวด (ยี่ห้อใดก็ได้)
วิธีการทำน้ำยาเช็ดยางรถยนต์
     1. นำน้ำอัดลมมาเทออกครึ่งขวด
     2. ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มลงไปในขวดน้ำอัดลม ให้ถึงแค่คอขวดพอ จากนั้นปิดฝาให้แน่นแล้วเขย่าผสมให้เข้ากัน (ควรเขย่าขวดก่อนผสม ไม่เช่นนั้นน้ำอัดลมอาจมีฟองพุ่งออกมาได้)
     3. เปิดฝาขวดอีกครั้งแล้วใส่น้ำยาล้างจานลงไปให้เต็มขวด ปิดฝา และเขย่าผสมให้เข้ากันอีกครั้งหนึ่ง

    เพียงเท่านี้คุณก็จะได้น้ำยาเช็ดยางรถยนต์มาใช้งานแล้ว ซึ่งขวดน้ำอัดลมที่เราแนะนำให้ซื้อมาทำคือขวดที่มีราคา 10 บาท หรือ 15 บาทก็พอ เพราะขวดนึงสามารถใช้งานได้นานอยู่ แต่ถ้าคิดว่าปริมาณมันน้อย หรือจะนำไปใช้กับรถหลายคัน จะใช้ขวดลิตรก็ได้ เพียงแค่เพิ่มปริมาณสัดส่วนให้เท่าๆ กันก็พอ และรับประกันได้ว่าสูตรนี้ มดไม่ไต่ขึ้นยาง หรือรถของคุณแน่นอนครับ
ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

5 อุปกรณ์ที่ควรมีติดรถไว้เผื่อยามฉุกเฉิน รับรองได้ใช้จริง


   การเดินทางด้วยรถยนต์อาจต้องพบเจอเหตุการณ์ฉุกเฉินอย่างไม่ทราบล่วงหน้าได้ ขอแนะนำ 5 อุปกรณ์ที่ควรมีติดรถไว้ยามฉุกเฉิน ซึ่งจะมีประโยชน์ขึ้นมาทันทีเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
1.สำเนาทะเบียนรถและกรมธรรม์ประกันรถยนต์
     สำเนาทะเบียนรถและกรมธรรม์ประกันภัย เป็น 2 สิ่งจำเป็นที่ควรเก็บไว้ในรถอยู่เสมอ เผื่อกรณีถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจ หรือเกิดอุบัติเหตุรถชน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างราบรื่น 
ที่สำคัญไม่ควรเก็บทะเบียนรถเล่มจริงไว้ในรถเป็นอันขาด ควรเก็บไว้เฉพาะสำเนาเท่านั้น เพราะหากรถหายขึ้นมา จะได้ใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป
103
2.ชุดปั๊มลมและอุดยางรั่วฉุกเฉิน
     รถส่วนมากจะถูกติดตั้งยางฉุกเฉินมาให้ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเปลี่ยนยางเป็น โดยเฉพาะคุณผู้หญิงหุ่นบางร่างเล็ก แม้ว่าจะพอมีความรู้ในการเปลี่ยนยางอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำได้สำเร็จเพียงคนเดียว
     ดังนั้น จึงควรหาซื้อชุดปั๊มลมและอุดยางรั่วฉุกเฉินเก็บไว้ในรถ ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถหลายรุ่นที่ไม่มียางอะไหล่มาให้ ซึ่งชุดปั๊มลมพร้อมอุดรอยรั่วถูกออกแบบให้ใช้งานง่าย คุณผู้หญิงก็สามารถทำได้ แต่มีข้อจำกัดว่าจะใช้ได้ในกรณียางรั่วเป็นรูเล็กๆ เท่านั้น หากยางเกิดฉีกขาดจะไม่สามารถอุดได้
104
3.ไฟฉาย
     ถือเป็นอุปกรณ์เบสิคที่หลายคนมองข้าม แต่มีประโยชน์ในยามฉุกเฉินมาก เช่น กรณีต้องเปิดฝากระโปรงหน้ากลางดึกในบริเวณที่ไม่มีไฟ ไฟฉายก็จะช่วยให้มองเห็นห้องเครื่องยนต์ได้สะดวกขึ้น โดยไม่ต้องลงทุนคว้าไอโฟนเครื่องละหลายหมื่นมาส่องสว่างแทน
     นอกจากนี้ ไฟฉายยังมีประโยชน์ในกรณีรถเสียหรือเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางยามค่ำคืน สามารถใช้เป็นสัญญาณไฟเตือนรถคันหลังให้ชะลอความเร็วลงได้ด้วย
100
4.ป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสง
     ป้ายสามเหลี่ยมสะท้อนแสงมักถูกติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถยุโรปแทบทุกคัน ซึ่งกรณีรถเสียระหว่างทางยามดึก การใช้ป้ายสะท้อนแสงจะช่วยให้ผู้ขับขี่คนอื่นมองเห็นได้จากระยะไกลมากขึ้น ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับทุกฝ่าย และยังมีประสิทธิภาพกว่าการหักกิ่งไม้มากองไว้กลางถนนกว่าเป็นไหนๆ
102
5.สายพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์
     ในยามปกติคงไม่มีใครคิดถึงสายแบตเตอรี่รถยนต์ แต่ในยามฉุกเฉิน หากมีคนเร่ขายเส้นละ 1 พันก็คงยอมจ่าย เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ได้กลับบ้านเป็นแน่ ทางที่ดีควรมีสายพ่วงแบตเตอรี่ติดรถไว้ เผื่อวันใดวันหนึ่งเกิดลืมปิดไฟหน้ารถ กลับมาอีกทีแบตเตอรี่หมด ก็ยังมองหารถคันอื่นช่วยจั๊มพ์สตาร์ทได้ทันทีโดยไม่ต้องถามว่า "พี่... มีสายพ่วงแบตฯ มาด้วยมั๊ย?"
ที่มา:sanook

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

4 เทคนิคขับเกียร์ออโต้ให้ประหยัด ที่หลายคนไม่เคยรู้



    รถยนต์เกียร์อัตโนมัติมักมีข้อด้อยในเรื่องการประหยัดน้ำมันที่สู้เกียร์แมนนวลไม่ได้ แม้ว่าปัจจุบันจะมีเกียร์ CVT ที่ลดข้อด้อยเรื่องการสูญเสียกำลังระหว่างเปลี่ยนเกียร์ลงได้มาก แต่ส่วนมากก็ยังสู้เกียร์ธรรมดาไม่ได้อยู่ดี
   ขอแนะนำ 4 เทคนิคเด็ดช่วยขับเกียร์อัตโนมัติให้ประหยัดถึงใจ ดังนี้
100
1.ถอนคันเร่งช่วยเปลี่ยนเกียร์เร็วขึ้น
     การเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ให้เร็วขึ้นกว่าปกติ (Short shifting) มีส่วนช่วยให้เครื่องยนต์กินน้ำมันน้อยลงได้ เพราะยิ่งใช้รอบเครื่องยนต์สูงมากเท่าไหร่ ก็จะมีการฉีดจ่ายน้ำมันมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งแม้ว่าระบบเกียร์อัตโนมัติจะมีการเปลี่ยนเกียร์เองตามการสั่งงานของสมองกลอยู่แล้ว แต่เรามีกลเม็ดที่ทำให้เปลี่ยนเกียร์ได้เร็วขึ้น นั่นคือ การถอนคันเร่งเล็กน้อยแล้วค่อยเหยียบลงไปใหม่ จะช่วยให้อัตราทดเกียร์สูงขึ้น 1 ตำแหน่ง (เช่น เกียร์ 3 ขึ้นไปเกียร์ 4) ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองที่ต้องเร่งออกตัวอยู่บ่อยๆ
2.ใส่เกียร์ N ขณะจอดติดไฟแดง
     การสลับไปใส่เกียร์ว่าง (N) มีส่วนช่วยให้รถกินน้ำมันน้อยลงได้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น หากจำเป็นต้องติดไฟแดงเป็นเวลานาน ก็ควรใส่เกียร์ว่างไว้ แถมยังไม่เมื่อยเท้า และเพิ่มความปลอดภัยไม่เสี่ยงชนคันหน้าด้วย
102
3.เลี้ยงความเร็วให้คงที่
     เมื่อขับรถทางไกลที่ต้องใช้ความเร็วสูง ควรเลี้ยงน้ำหนักคันเร่งให้คงที่ ไม่ควรปล่อยเหยียบซ้ำๆ เพราะเกียร์อัตโนมัติในรถบางรุ่นจะลดอัตราทดลงทันที 1 จังหวะ เมื่อปล่อยคันเร่งแล้วเหยียบซ้ำ ทำให้รอบเครื่องยนต์ขึ้นสูงโดยไม่จำเป็น
4.อย่าคิกดาวน์เมื่อไม่จำเป็น
     การคิกดาวน์ (Kickdown) คือ การเหยียบคันเร่งแบบจมมิด หรือประมาณ 3 ใน 4 ของระยะคันเร่งทั้งหมด เพื่อให้เกียร์ลดอัตราทดลงมา ส่งผลให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้ฉับไวขึ้น ซึ่งการคิกดาวน์แต่ละครั้งจะใช้น้ำมันมากกว่าปกติ ดังนั้น หากเหยียบคิกดาวน์บ่อยๆ ก็จะทำให้น้ำมันลดฮวบโดยไม่จำเป็นได้
ที่มา:sanook

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

5 สิ่งห้ามเก็บในรถกลางแดดช่วงหน้าร้อนเด็ดขาด!


     อากาศเมืองไทยช่วงฤดูร้อนมันช่างร้อนระอุดั่งปากปล่องภูเขาไฟ ซึ่งรถยนต์ที่จอดไว้กลางแดดเป็นประจำ ก็จะมีอุณหภูมิสะสมภายในห้องโดยสารเพิ่มขึ้นไปด้วย แนะนำ 5 ไอเท็มที่ไม่ควรเก็บไว้ในรถช่วงหน้าร้อนเด็ดขาด มีอะไรบ้าง?
     รถยนต์ที่จอดรถไว้กลางแดดนั้น อาจมีอุณหภูมิสะสมสูงขึ้นแตะระดับ 65-70 องศาได้อย่างไม่ยากเย็น ซึ่งอุณหภูมิระดับนี้อาจส่งผลต่ออุปกรณ์และชิ้นส่วนต่างๆ ภายในตัวรถได้ ในระยะยาวชิ้นส่วนคอนโซลที่เป็นพลาสติก อาจกรอบแตกหักได้ง่าย หรือปุ่มที่ใช้วัสดุยางมาเป็นส่วนประกอบ ก็อาจละลายจนกลายเป็นคราบเหนียวติดมือ ซึ่งส่วนมากมักพบได้ในรถยุโรปบางยี่ห้อ ที่ไม่ได้คำนึงถึงการใช้งานในประเทศเมืองร้อนมากนัก
     อย่างไรก็ดี ยังมีอุปกรณ์อีกหลายอย่างที่เจ้าของรถมักเก็บติดรถไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจทำอันตรายจนเกิดความเสียหายได้ หากอยู่ในจุดที่แดดส่องหรืออุณหภูมิสูงสะสมเป็นระยะเวลานาน ได้แก่
202
1.พาวเวอร์แบงค์
     พาวเวอร์แบงค์เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่หลายคนมักพกติดตัวอยู่เสมอ ซึ่งในแบตเตอรี่สำรองแบบพกพา จะประกอบด้วยสารเคมีที่ไวต่อการทำปฏิกิริยาหากอยู่ในพื้นที่ที่มีความร้อนสูงเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้เกิดการลัดวงจรจนทำให้เกิดการระเบิดได้ ซึ่งการระเบิดของพาวเวอร์แบงค์ส่วนมากจะเป็นการพุ่งของเปลวไฟ ทำให้อุปกรณ์หรือแผงคอนโซลในรถได้รับความเสียหาย หากไฟเกิดลุกติดชิ้นส่วนที่ติดไฟง่าย เช่น เบาะนั่ง, แผงบุหลังคา, ฉนวนกันความร้อน ฯลฯ เหล่านี้อาจลุกลามบานปลายจนกลายเป็นไฟไหม้รถทั้งคันได้

201
2.ไฟแช็ค
     ไฟแช็คมีโอกาสระเบิดได้หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูงตลอดเวลา รวมถึงสิ่งที่ติดไฟง่ายอื่นๆ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง, ไม้ขีดไฟ, พลุ เป็นต้น

205
3.กระป๋องสเปรย์
     กระป๋องสเปรย์ประกอบไปด้วยแรงดันภายในกระป๋องสูงอยู่แล้ว เมื่อได้รับความร้อนสูงเป็นระยะเวลานาน ก็จะทำให้แรงดันเพิ่มขึ้นสูงมากขึ้นไปอีก จนกระทั่งระเบิดออก สร้างความเสียหายให้กับห้องโดยสารได้

203
4.เครื่องหอมระเหยต่างๆ
     เครื่องหอมระเหยต่างๆ ภายในรถ ไม่ควรเก็บทิ้งไว้ในรถเมื่อต้องจอดทิ้งไว้กลางแดดเป็นระยะเวลานาน เพราะเมื่อได้รับความร้อนสูง อาจทำให้เกิดการละลาย สร้างความเสียหายให้กับแผงคอนโซลได้ ในบางกรณีอาจไหลเยิ้มลงบนคอนโซลรถเข้าไปยังซอกต่างๆ ซึ่งยากที่จะทำความสะอาดให้หมดสิ้น

204
5.แผ่นยางกันลื่น/ของประดับจากยาง
     แผ่นยางกันลื่นหรือของเล่น ของประดับที่ทำจากยางมักไม่ถูกกับความร้อน ซึ่งทำให้เกิดการละลายติดกับแผงคอนโซลได้ และยังอาจทำให้คอนโซลเกิดเป็นรอยด่างถาวรได้อีกด้วย ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงนำอุปกรณ์เหล่านี้มาประดับบนแผงคอนโซล หรือใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ที่มา:sanook